::ขีดๆเขียนๆ::
ในช่วงที่ผ่านมา มักจะมีเพื่อนๆ inbox เข้ามาถามผมเกี่ยวกับการเขียนเรื่องราวต่างๆลงในเฟสบุค บางคนใช้ความเป็นกันเองถามอย่างตรงไปตรงมาว่าผมเขียนไปทำไม เขียนให้ได้อะไรขึ้นมา บางคนเลยเถิดไปถึงขั้นเข้าใจว่าผมอยากดัง
ผมบอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยใส่ใจกับความคิดเห็นที่ประกอบขึ้นจากความไม่เข้าใจเจตนารมย์ในการเขียนเหล่านั้น แต่หลายครั้งก็อดไม่ได้ที่จะเก็บบางคำพูดมาคิดตาม สงสัยตัวเองเหมือนกันครับว่าทำไมถึงต้องมาเขียนอะไรๆให้คนอื่นอ่านแบบนี้
ตัดประเด็นเรื่องความอยากดังออกไปก่อนนะครับ ผมไม่ใช่ประทัด บอกตามตรง(อีกครั้ง)ว่าถ้าอยากดัง ผมไปเป็นดารานานแล้ว (ถุย)
.
มีคนเคยกล่าวไว้ว่าการจะเป็นนักเขียนที่ดีได้ต้องเป็นนักอ่านที่ดีก่อน ผมนี่ลุกขึ้นเถียงเลย เพราะผมเป็นนักอ่านที่ห่วยแตกมาก เป็นโรคแพ้ตัวอักษร โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอักษรที่ปราศจากอารมณ์ใดๆอย่างตำราต่างๆ หรือประมวลกฎหมายสมัยที่ยังเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ
เกรดวิชากฎหมายสนับสนุนความจริงข้อนี้ครับ ถึงแม้จะจบมาเกรดเฉลี่ย 3 กว่า แต่เพราะวิชาประเภทศาสตร์แห่งตำรวจล้วนๆ วิชาที่เป็น Pure Law นี่ไปห่างๆ ไม่ถูกกัน
ย้อนกลับไปตอนเรียนที่คณะอักษรฯ ศิลปากร อาจารย์สอนอังกฤษบังคับให้อ่านหนังสือนอกเวลา จำได้ว่ามันเป็นเรื่องของเด็กผู้หญิงชาวญี่ปุ่นคนนึงที่หายตัวไปหรืออะไรแถวๆนั้นนั่นแหล่ะครับ แม้มันจะเป็นหนังสือเล่มบางๆภาษาอังกฤษง่ายๆ ที่ใครๆก็อ่านได้ แต่ฝันไปเถอะ สำหรับคนเกลียดการอ่านอย่างผม การประมวลเรื่องราวจากการหลอกถามเพื่อนคนนู้นทีคนนี้ทีนั้นง่ายกว่าเยอะ
.
เท่าที่จำความได้ ผมชอบเขียนมากกว่าชอบอ่าน
ความรู้สึกชอบเขียนของผมเกิดขึ้นพร้อมๆกับความนิยมในการเขียนไดอารีออนไลน์ของวัยรุ่นยุคนั้น สมัยนั้นผมเริ่มต้นกับ diaryis.com (ไม่รู้ว่าตอนนี้สาบสูญไปจากโลกแล้วรึยัง) เริ่มเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความฝันของตัวเองที่อยากเป็นทหาร-ตำรวจ เกี่ยวกับความรักบ้าง ชีวิตในโรงเรียนปทุมคงคาบ้าง ลุกลามบานปลายมาจนถึงชีวิตนักศึกษาอักษร ม.ศิลปากร ชีวิตนักเรียนนายสิบตำรวจ และก็มีอันต้องเลิกเขียนไปเพราะเว็บมันล่ม (เปรตจริง - _ - ')
หลังจากนั้นเป็นช่วงที่เรียนจบนายสิบและเริ่มรับราชการพอดี Hi5 กำลังระบาดหนัก ผมเลยได้ที่เขียนใหม่ไปโดยปริยาย Hi5 นี่แรกๆก็ดีครับ แต่หลังๆพอเปลี่ยน Theme เปลี่ยนสีสันอะไรๆได้ก็เริ่มเลอะเทอะมากขึ้น พอ facebook มาถึงโลกของผม ความเรียบง่ายของสีขาวกับสีฟ้าก็ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยและรู้สึกสงบมากกว่าที่จะเขียนอะไรต่อมิอะไรลงไป
ใครที่ถามถึง Blog ผมมีครับ แต่ไม่ถนัด เพราะฉะนั้นไม่ต้องถาม
.
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า การเขียน หรือ สิ่งที่ผมเขียน มันดีมั้ย แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้ก็คือ ยิ่งผมเขียนมากเท่าไหร่ผมยิ่งรู้สึกอยากเรียนรู้มากขึ้นเท่านั้น
ถึงจะออกตัวว่าชอบเขียนมากกว่าชอบอ่าน แต่เผลอแพล็บเดียว กลับพบว่าผมมีหนังสืออยู่ที่บ้านเป็นพันๆเล่ม นึกย้อนไปถึงทุกครั้งที่ต้องย้ายที่อยู่ ตั้งแต่ย้ายกองร้อยตอนขึ้นชั้นปี จนถึงย้ายที่ทำงาน ย้ายบ้าน ผมจะต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวันไปกับการจัดระเบียบหนังสือของผมลงลังที่หามาสำหรับพวกมันโดยเฉพาะเสมอๆ (และมันก็หนักมากกกกก)
พวกของใช้เสื้อผ้านี่ไม่ถนอม หายไปแตกหักไปหาใหม่ได้ แต่หนังสือนี่ใครทำยับ เคือง ... ใครที่เปิดหนังสือให้มันแแบะๆ หรือแบบเปิด-วาง-รีด ผมนี่อยากจะฆ่าแม่ง
.
น่าแปลก ที่ความชอบเขียน ทำให้ผมกลายเป็นคนชอบอ่านแบบไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่ผ่านร้านหนังสือ ผมต้องเดินเข้า และมักจะอดไม่ได้ที่จะซื้ออย่างน้อย 1 เล่มติดมือออกมา สาวๆท่านใดมีโอกาสเดินห้างกับผม ถ้าอยู่ดีๆผมหายไป ไม่ต้องโทรตามนะครับ เปลืองตังค์ เดินเข้าไปหาในร้านหนังสือ รับรองเจอตัวแน่นอน
ใครที่ห้ามผมเข้าร้านหนังสือหรือซื้อหนังสือ ขอแนะนำให้ไปห้ามสายน้ำให้หยุดไหลจะง่ายกว่า (แหม่ ... คมกริบ)
.
ตอนนี้ผมกลายเป็นคนรักการอ่านไปแล้ว แม้ไม่รู้ว่านักเขียนกับนักอ่านอะไรเกิดก่อนกัน แต่ถ้าไม่มีนักหนึ่ง อีกนักหนึ่งก็ไม่เกิด ถึงจะเกิดก็ไร้ค่า แต่สิ่งหนึ่งที่ผมค้นพบจากการเป็นคนชอบเขียนก็คือ ผมรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเป็นกรวยอันนึง ที่ทำหน้าที่บีบความคิดดีๆจากเรื่องที่ผมเคยอ่าน ลงไปในแก้วใบหนึ่งของคนที่กำลังจะได้อ่านเรื่องที่ผมเขียน
หลายครั้ง (ส่วนมากซะด้วย) ยอมรับว่าเขียนโดยอาศัยแรงบันดาลใจจากบทความของคนอื่นๆ แต่ผมเชื่อว่าไม่มีนักเขียนคนใดในโลกที่ไม่เคยอ่านหนังสือของคนอื่น หรืออ่านแล้วไม่จดจำเรื่องดีๆมาเขียนใหม่ด้วยภาษาของตัวเอง
การอ่านจากหนังสือของคนอื่นเล่มเดียวแล้วเอามาเขียนใหม่อาจถูกเรียกว่าการลอก แต่การอ่านจากหนังสือของคนอื่นหลายๆเล่มแล้วเอามาเขียนใหม่ ผมถือว่ามันเป็นการสร้างสรรค์ที่เกิดจากการค้นคว้า
.
เหนืออื่นใด ผมกำลังเริ่มรู้สึกว่าการเขียนกำลังเริ่มจะสร้างความสุขแปลกๆอย่างหนึ่งให้กับผม
รูปถ่ายที่ผมแนบมากับบทความนี้ คือรูปถ่ายที่เพื่อนคนหนึ่งใน facebook ซึ่งรู้จักกันผ่านสิ่งที่ผมเขียน ส่งมาให้ เธอเอาบทความที่ผมขียนและรวมเล่มไปอ่านในชีวิตช่วงว่างของเธอ
ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าผมมีความสุขที่เห็นภาพนี้
ถึงแม้การเขียนจะยังไม่ได้สร้างรายได้ให้ผมอย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่ผมรู้สึกว่าผมกำลังได้อะไรมากกว่ารายได้... และที่สำคัญคือผมไม่เคยคาดหวังมันเลย ตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มเขียน
แค่มีคนอ่านเรื่องที่ผมเขียนก็มีความสุขระดับหนึ่งแล้ว แต่ถึงขั้นมีคนยอมจ่ายตังค์เพื่ออ่านมัน ก็คิดเอาเองว่ามันจะรู้สึกไปถึงระดับไหน (หน้าเลือดนั่นเอง)
.
การอ่านทำให้ใครหลายๆคนมีความสุข แต่คงจะดีกว่าถ้าเราแบ่งปันความสุขนั้นให้คนอื่นๆได้ด้วยการเขียน
ผมเชื่อว่าชีวิตทุกคนมีความไม่ธรรมดาในตัวของมันเอง
เราไม่มีทางรู้หรอกว่าเรื่องบางเรื่องของเราอาจช่วยฉุดกระชากคนบางคนให้ขึ้นมาจากห้วงแห่งความหลงผิดหรือความทุกข์ได้ จนกว่าเราจะลองเขียนบทความดีๆสักเรื่องหนึ่งขึ้นมา
ที่เขาว่ากันว่าคนไทยอ่านหนังสือน้อย นั่นอาจเป็นเพราะยังมีคนที่คิดดีๆทำดีๆเพียงส่วนน้อยที่เขียนหนังสือดีๆให้คนได้อ่านก็เป็นได้ (จะจริงหรือไม่จริงทางสถิติก็ช่างมันเถอะ ผมเขียนเอาเท่)
.
เขียนเถอะครับ...แล้วคุณจะพบความสุขแปลกๆอย่างที่ผมพบ
.
ฝากไว้อีกเรื่อง ถ้าเราเขียนอะไรยาวๆ แล้วมีคนมาโพสต์ว่า "ยาว!ไม่อ่าน!" หรืออะไรแถวๆนั้น ให้นิ่งเสีย เพราะคนพวกนั้นกำลังบอกโลกรับรู้ถึงคุณภาพของเขาอยู่
มันเป็นเรื่องของเขากับโลก
มันไม่ใช่เรื่องที่เราต้องเข้าไปยุ่งหรือใส่ใจ
###
-นิ้วกลาง-
###
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น