::: ซีรีย์ "โตขึ้นผมจะเป็นตำรวจ" :::
::: 3rd :::
::: ที่นั่งของตำรวจ :::
.
หลังจากที่ให้ลองเลือกโซฟาในตอนก่อนกันไปแล้ว บทนี้ก็มาอ่านคำตอบกันดูครับว่า โซฟาที่แต่ละคนเลือกบ่งบอกอะไรบ้าง
มาไล่ดูกันทีละตัว
.
แบบA ผู้ใส่ใจ
คุณเป็นคนประเภทที่สามารถนั่งฟังเรื่องราวชีวิตของใครสักคนได้ทั้งวัน วิถีชีวิตของผู้คนดึงดูดใจคุณเสมอ คุณสนใจในคนอื่นๆ โดยธรรมชาติ ซึ่งนั่นอาจทำให้คุณดูเหมือนเป็นพวกอยากรู้อยากเห็นเรื่องของชาวบ้านเขาสักหน่อย คนอื่นๆ มองว่าคุณใช้ชีวิตแบบเรื่อยเฉื่อยไม่สนใจโลก นิ่ง ขรึม ไม่น่าคบหาเลย แต่ที่จริงแล้วคุณเป็นคนที่กระตือรือร้นและช่างคิดวิเคราะห์ พฤติกรรมของมนุษย์เป็นสิ่งที่น่าค้นหาอย่างยิ่งสำหรับคุณ และคุณก็หลงใหลสิ่งนี้เอามากๆ คุณแพ้ทางคนที่มีนิสัยเหมือนกัน เรียกว่าไม่ชอบให้คนรู้ทันก็ไม่ผิด
ลักษณะงานที่เหมาะสมกับคุณคือ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ นักสืบ หรืองานอื่นๆ ที่ต้องใช้ทักษะในการพูดคุยติดต่อสื่อสารหรือค้นหาความจริง
.
แบบB ผู้ลึกซึ้ง
คุณสามารถนั่งอ่านหนังสือยากๆ และมีเนื้อหาที่ซับซ้อนได้ทั้งวัน มักหมกมุ่นอยู่กับการใช้ความคิด ยิ่งลึก ยิ่งซับซ้อน คุณก็ยิ่งชอบ คนอื่นๆ มองว่าคุณเป็นคนไม่สนโลก แต่จริงๆ แล้วเรื่องความจริงของโลกหรือสัจธรรมแท้ๆของโลกนี่แหล่ะที่คุณสนใจจนไม่แยแสเรื่องไร้สาระที่คนอื่นสนใจกัน เมื่อคุณสนใจสิ่งใด คุณจะยิ่งศึกษาเรื่องนั้นๆ อย่างลึกซึ้งจนรู้แจ้งเห็นจริง ชนิดที่ว่ากล้านำไปถกเถียงกับคนที่เรียกว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ ซะอีก
ลักษณะงานที่เหมาะสมกับคุณคือ นักวิชาการ ครูอาจารย์ นักเขียน นักโบราณคดี งานที่ต้องค้นคว้า
.
แบบC ผู้เฉียบแหลม
คุณเป็นคนที่สามารถให้ความบันเทิงกับคนอื่นๆ ได้ทั้งวันด้วยมุกตลกที่ยอดเยี่ยม คุณรู้จังหวะในการพูด และเชื่อว่าคนเราต้องแสดงให้ผู้อื่นเห็นความสามารถในจังหวะที่เหมาะสมที่สุด เพื่อที่เขาจะได้เห็นอะไรดีๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ คนอื่นๆ มองว่าคุณวางมาด ขี้เก๊ก และคุณก็มักยอมรับว่าคุณเป็นแบบนั้นจริงๆ คุณสามารถวิเคราะห์สิ่งต่างๆรอบตัวได้อย่างง่ายดาย และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตของคุณเสมอ
อาชีพ : นักวิจารณ์ นักพูด นักขาย นักการตลาด
.
แบบD ผู้สร้างสรรค์
คุณเป็นคนที่นั่งวางแผนโครงการต่างๆ ได้ทั้งวัน การค้นพบและความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่คุณชื่นชอบ โดยมากแล้วคุณมีงานอดิเรกที่น่าตื่นเต้นและท้าทาย คนอื่นอาจมองว่าคุณเป็นคนหมกมุ่น ซึ่งมันก็จริง แต่คุณสามารถบริหารมันได้อย่างพอเหมาะ คุณชอบการทดลอง การเรียนรู้ และการนั่งคิดที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างด้วยโจทย์ที่ว่า มันสามารถดีกว่านี้ได้
อาชีพ : นักวิทยาศาสตร์ ครีเอทีฟ นักการเมือง
.
แบบE นักผจญภัย
คุณเป็นคนที่สามารถมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินหรือรถไฟได้อย่างไม่มีวันเบื่อ ความแปลกใหม่คือสิ่งที่คุณค้นหาเสมอ อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นคน งาน สถานที่ จะดึงดูดให้คุณสนใจเสมอ คนอื่นมองว่าคุณเป็นพวกไม่ยอมหลับยอมนอน ซึ่งมันก็จริง เพราะคุณชอบเที่ยว และที่สำคัญเจ้าชู้ด้วย คุณชอบการเดินทาง และคิดว่าช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในการเดินทางคือช่วงระหว่างการเดินทาง ไม่ใช่การไปถึงจุดหมายของการเดินทาง
อาชีพ : นักบิน นักสำรวจ งานที่ต้องเดินทาง
.
แบบF นักคิด
คุณเป็นคนที่สามารถนั่งอยู่ที่ใดที่หนึ่งได้เป็นเวลานานๆ โดยไม่เบื่อ และไม่ค่อยถูกใจคนที่อยู่นิ่งๆ ไม่เป็น โลกใบนี้คือความบันเทิง มีเรื่องราวอีกมากมายและน่าค้นหา คนอื่นอาจมองว่าคุณเป็นคนประหลาด ชอบล้อเลียนคุณ แต่โชคดีที่มันจะเกิดขึ้นแค่นั้น เพราะเขารู้ดีว่าถ้าคุณเอาจริงขึ้นมาคุณจะน่ากลัวมาก เพราะคุณมุ่งมั่น มีความคิดเป็นแบบฉบับของตัวเอง และพัฒนามันอยู่เสมอ
อาชีพ : นักปรัชญา นักค้นคว้า นักวิจัย
.
แบบG ผู้รักสงบ
คุณคือคนที่พร้อมเสมอสำหรับการช่วยเหลือคนรอบข้าง ขอเพียงแค่บอก ธรรมชาติจองคุณคือผู้ให้ คุณเป็นคนจิตใจดี มีน้ำใจ และช่วยเหลือใครๆได้โดยไม่หวังผลตอบแทน คนอื่นๆ มองว่าคุณเป็นนักเจรจาต่อรองและประนีประนอมที่ดี แต่จริงๆแล้วคุณไม่เพียงทำได้ดี คุณเก่งกาจในเรื่องนี้เลยทีเดียว
อาชีพ : ผู้นำศาสนา ที่ปรึกษา จิตแพทย์ ครูแนะแนว
.
แบบH คนมุ่งมั่น
คุณคือคนที่สามารถนั่งทำงานยากๆ ที่คนอื่นปฏิเสธได้ทั้งวัน ถ้าลงมือทำอะไรแล้วมันต้องเสร็จสิ้นเสมอ แต่จะสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่อง ใครๆ มองว่าคุณโอเว่อร์ บ้างาน และไม่รู้จักหาความสุขให้ชีวิต แต่คุณตอบตัวเองได้ว่าการทำอะไรให้แล้วเสร็จเป็นความสุขของชีวิต คุณมีความสามารถในการจัดการสิ่งต่างๆ และไม่อายที่จะนำเสนอ หากเห็นว่าความคิดของคุณเป็นตัวเลือกที่อาจจะดีกว่า
อาชีพ : นักธุรกิจ ผู้จัดการ นักวางแผน
.
แบบI นักฝัน
คุณนั่งอยู่กับความคิดของตัวเองได้ทั้งวัน สำหรับคุณแล้วจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ หรืออาจจะสำคัญกว่าทุกสิ่ง บางครั้งคุณเผลอยิ้มคนเดียว คุณมีไอเดียดีๆ เสมอ แต่ทุกครั้งมักจะไม่ได้จดบันทึกไว้เพราะคิดว่าจะจำมันได้ คนอื่นมองว่าคุณมีโลกส่วนตัวสูงสุดกู่ ซึ่งมันจริง อย่าถามถึงระเบียบวินัย คุณไม่มีมันเลย
อาชีพ : นักเขียน นักแสดง อาชีพในวงการบันเทิง
.
จะเห็นได้ว่าแม้แบบทดสอบนี้จะไม่ได้บอกไว้ตรงๆ ว่าคุณเหมาะสมกับการเป็นตำรวจหรือไม่ แต่ผมเชื่อว่าเมื่อได้ผลลัพธ์ออกมาแล้วว่าคุณเป็นคนประเภทไหน ลองเอาไปเปรียบเทียบกับลักษณะงานของตำรวจดู คุณก็จะรู้เองครับว่าคุณเหมาะสมกับการเป็นตำรวจหรือไม่
.
อย่างไรก็ตาม แบบทดสอบเดียวอาจยังไม่สามารถกำหนดความเป็นไปต่างๆ ได้
ขอแนะนำให้ลองเข้าไปค้นหาจาก google เกี่ยวกับแบบทดสอบตามทฤษฎีการเลือกอาชีพของ จอห์น แอล ฮอลแลนด์ (John Lewis Holland) นักจิตวิทยาชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ (Johns Hopkins University) หรือแบบทดสอบของนักจิตวิทยาผู้มีชื่อเสียงในด้านการออกแบบแบบทดสอบเพื่อบอกความถนัดในการประกอบอาชีพท่านอื่นๆ เช่น ฟิลลิป คาร์เตอร์ (Phillip Carter) ดูอีกชั้นหนึ่ง
คราวนี้แหล่ะครับ เราน่าจะหาคำตอบให้กับตัวเองได้อย่างค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าเราสมควรที่จะเป็นตำรวจจริงๆ หรือไม่
ถ้ายังมั่นใจ ติดตามบทความต่อๆ ไปได้เลยครับ ซีรีย์ชุดนี้จะทำให้คุณสมปรารถนา
.
###
-นิ้วกลาง-
###
5/22/2558
5/19/2558
ส่งกระจก มองตา หาคำตอบ
:::#ซีรีย์"#โตขึ้นผมจะเป็นตำรวจ":::
:::#2nd:::
:::#ส่องกระจก-#มองตา-#หาคำตอบ:::
.
อย่าหลอกตัวเองนะครับ ถามตัวเองแบบตรงไปตรงมาเลยว่าหน้าอย่างเราเหมาะที่จะเป็นตำรวจจริงๆ รึเปล่า หรือมันเป็นเพียงแค่ความอยากเฉยๆ
ต้องแยกให้ออกระหว่างสิ่งที่ใช่กับสิ่งที่ชอบ อย่าให้ความตั้งใจที่จะเป็นตำรวจกลายเป็นเพียงความอยากชั่วครั้งหรือเป็นพลังชั่วคราว เพราะหลังจากนี้ไปวิถีชีวิตของเราในบางเรื่องจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ได้มาซึ่งการเป็นตำรวจ
จริงอยู่... สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดสอบตำรวจทุกปีและเปิดรับในจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,000 คนเสมอ แต่ถ้าคิดตามอัตราส่วนจากจำนวนผู้สมัครหลักเกือบแสนแล้วเราจะพบว่า ในทุกๆปีจะมีผู้สมหวังเพียงแค่จำนวนน้อยนิด
จากสถิติ 3 ปีล่าสุดจะพบว่า
ในปี 2556 เปิดรับ 1,593 อัตรา แต่มีผู้สมัครมากถึง 58,127 คน อัตราการแข่งขัน 1 ต่อ 36 คิดเป็น 2.74%
ปี 2557 เปิดรับ 6,800 อัตรา สมัคร 97,537 คน อัตราการแข่งขัน 1 ต่อ 14 คิดเป็น 6.97%
และล่าสุดปี 2558 เปิดรับ 5,000 อัตรา สมัคร 83,004 คน อัตราการแข่งขัน 1 ต่อ 16 คิดเป็น 6.02%
เป็นไงครับ ปาดเหงื่อเลย ...
.
ถ้าหากเรายังยินดีอยู่กับการเที่ยวเล่นสนุกสนาน เล่นเนท ดูหนัง ฟังเพลง หรือใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระอื่นๆ ตามประสาวัยรุ่นอยู่ รับรองเลยว่าคนจำนวนไม่เกิน 7% ในการสอบครั้งต่อไป จะไม่ใช่เราแน่
หากจะเป็นเรา... จากนี้ต่อไปชีวิตจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงวิถีเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่สมรภูมิการแข่งขันอันโหดร้ายข้างต้น
ถามตัวเองครับ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหน มันใช่เราจริงๆ รึเปล่า
ถ้าในอีก 3-6 เดือนจากนี้ต่อไป เราจะต้องหันหลังให้กับความสนุกสนานเพื่อหันหน้าให้กับตำราและการเตรียมความพร้อมอื่นๆ เราจะทำได้เป็นอย่างดีเพื่อจุดมุ่งหมายคือการรับราชการตำรวจ (และให้คนด่า) ได้หรือไม่
.
หากยังไม่แน่ใจและกลัวว่าการส่องกระจกอาจจะทำให้เราหลอกตัวเอง ผมขอแนะนำให้ถอยห่างออกมาจากกระจกสักเล็กน้อยและลองหันไปเลือกโซฟาทั้ง 9 ตัวที่ผมเตรียมมาให้ข้างล่างนี้แทนก่อนครับ เผื่ออะไรๆ จะชัดเจนขึ้น
ออกตัวก่อนว่า ผมเคยได้การส่งต่อแบบทดสอบทางจิตวิทยานี้มาจากทางไลน์ ไม่ได้คิดขึ้นเอง ใครเป็นผู้จัดทำ หรือรู้ว่าใครจัดทำช่วยชี้แนะด้วยครับ
เชิญเลือกที่นั่งตามอัธยาศัยครับ
.
###
-นิ้วกลาง-
###
:::#2nd:::
:::#ส่องกระจก-#มองตา-#หาคำตอบ:::
.
อย่าหลอกตัวเองนะครับ ถามตัวเองแบบตรงไปตรงมาเลยว่าหน้าอย่างเราเหมาะที่จะเป็นตำรวจจริงๆ รึเปล่า หรือมันเป็นเพียงแค่ความอยากเฉยๆ
ต้องแยกให้ออกระหว่างสิ่งที่ใช่กับสิ่งที่ชอบ อย่าให้ความตั้งใจที่จะเป็นตำรวจกลายเป็นเพียงความอยากชั่วครั้งหรือเป็นพลังชั่วคราว เพราะหลังจากนี้ไปวิถีชีวิตของเราในบางเรื่องจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ได้มาซึ่งการเป็นตำรวจ
จริงอยู่... สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดสอบตำรวจทุกปีและเปิดรับในจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,000 คนเสมอ แต่ถ้าคิดตามอัตราส่วนจากจำนวนผู้สมัครหลักเกือบแสนแล้วเราจะพบว่า ในทุกๆปีจะมีผู้สมหวังเพียงแค่จำนวนน้อยนิด
จากสถิติ 3 ปีล่าสุดจะพบว่า
ในปี 2556 เปิดรับ 1,593 อัตรา แต่มีผู้สมัครมากถึง 58,127 คน อัตราการแข่งขัน 1 ต่อ 36 คิดเป็น 2.74%
ปี 2557 เปิดรับ 6,800 อัตรา สมัคร 97,537 คน อัตราการแข่งขัน 1 ต่อ 14 คิดเป็น 6.97%
และล่าสุดปี 2558 เปิดรับ 5,000 อัตรา สมัคร 83,004 คน อัตราการแข่งขัน 1 ต่อ 16 คิดเป็น 6.02%
เป็นไงครับ ปาดเหงื่อเลย ...
.
ถ้าหากเรายังยินดีอยู่กับการเที่ยวเล่นสนุกสนาน เล่นเนท ดูหนัง ฟังเพลง หรือใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระอื่นๆ ตามประสาวัยรุ่นอยู่ รับรองเลยว่าคนจำนวนไม่เกิน 7% ในการสอบครั้งต่อไป จะไม่ใช่เราแน่
หากจะเป็นเรา... จากนี้ต่อไปชีวิตจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงวิถีเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่สมรภูมิการแข่งขันอันโหดร้ายข้างต้น
ถามตัวเองครับ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหน มันใช่เราจริงๆ รึเปล่า
ถ้าในอีก 3-6 เดือนจากนี้ต่อไป เราจะต้องหันหลังให้กับความสนุกสนานเพื่อหันหน้าให้กับตำราและการเตรียมความพร้อมอื่นๆ เราจะทำได้เป็นอย่างดีเพื่อจุดมุ่งหมายคือการรับราชการตำรวจ (และให้คนด่า) ได้หรือไม่
.
หากยังไม่แน่ใจและกลัวว่าการส่องกระจกอาจจะทำให้เราหลอกตัวเอง ผมขอแนะนำให้ถอยห่างออกมาจากกระจกสักเล็กน้อยและลองหันไปเลือกโซฟาทั้ง 9 ตัวที่ผมเตรียมมาให้ข้างล่างนี้แทนก่อนครับ เผื่ออะไรๆ จะชัดเจนขึ้น
ออกตัวก่อนว่า ผมเคยได้การส่งต่อแบบทดสอบทางจิตวิทยานี้มาจากทางไลน์ ไม่ได้คิดขึ้นเอง ใครเป็นผู้จัดทำ หรือรู้ว่าใครจัดทำช่วยชี้แนะด้วยครับ
เชิญเลือกที่นั่งตามอัธยาศัยครับ
.
###
-นิ้วกลาง-
###
5/18/2558
เป็นตำรวจให้คนด่า
:::#ซีรีย์"#โตขึ้นผมจะเป็นตำรวจ":::
:::#1st:::
:::#เป็นตำรวจให้คนด่า:::
.
อาจเป็นอะไรที่ดูมองโลกในแง่ลบไปหน่อยนะครับ แต่ผมกล้ายืนยันในฐานะที่เป็นตำรวจมา 10 กว่าปีแล้วว่าเรื่องนี้เป็นความจริงที่สุด และเป็นของคู่กันกับความเป็นตำรวจซะยิ่งกว่า นกคู่ฟ้า ปลาคู่น้ำ
.
ตำรวจเป็นอาชีพที่ใครหลายๆคนบอกว่าต้องคำสาป ไม่ว่าจะทำดีแสนดีขนาดไหนก็จะได้แค่เสมอตัว แต่ถ้าหากลองเผลอไปทำชั่ว(แล้วมีคนรู้นะ)ดูสิครับ รับรองว่าย่อยยับ
ไม่ต้องดูอะไรมาก เอาแค่เรื่องใกล้ๆตัว แม้แต่ใน facebook ของผมเองก็แทบไม่มีวันไหนเลยที่จะไม่เห็นคนด่าตำรวจ(ทั้งๆที่มันมีผมเป็น friend ด้วยนะ)
ทุกวันนี้หากเราลองเข้าไปในหน้าแฟนเพจของ youlike แล้ว จะพบเลยว่าคลิปตำรวจเป็นอะไรที่ขายดีมาก ยอดเข้าชม ยอดกดไลค์ หรือยิ่งไปกว่านั้นคือยอดคอมเมนต์จะพุ่งสูงมาก ประเด็นที่ว่าคลิปนั้นๆ เป็นเรื่องที่ตำรวจทำไม่ถูกต้องจริงๆ หรือแค่ทำไม่ถูกใจใครบางคนหรือไม่ ไม่ใช่สาระสำคัญ ขอเพียงแค่คนในคลิปเป็นตำรวจ หรือแม้แต่มีตำรวจ(หรือชายไทยแต่งกายคล้ายตำรวจ)เดินหลงทางผ่านเข้ามาในกล้องแค่แวบเดียวก็ตาม สาวก youlike ก็พร้อมที่จะประเคนคำด่าใส่ด้วยถ้อยคำแสนบาดใจ
การโดนด่าของตำรวจนั้นไม่ใช่ว่าจะด่ากันแต่เรื่องลบๆ อย่างเดียว แม้แต่เรื่องบวกๆ อย่างตำรวจปลูกต้นไม้ ตำรวจร้องเพลงเปิดหมวกเอาเงินไปช่วยน้ำท่วมหรือเด็กยากไร้ หรือแม้กระทั่งตำรวจทำคลอดฉุกเฉินก็ยังไม่วายมีคนด่า บางทีผมถึงกับทึ่งในความสามารถของคนพวกนี้ ไม่รู้ไปเรียนจบอะไรมาถึงได้อุตส่าห์มองเห็นความเลวของคนที่ทำอะไรดีๆ กระทั่งเอามาด่าเป็นเรื่องเป็นราวกันได้
.
อันที่จริงศาสตร์แห่งการด่าตำรวจนี่มีอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภูมิภาคหรือซีกโลกไหน ต่อให้เป็นหน่วยตำรวจที่ได้รับความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพการทำงานสูงเป็นอันดับต้นๆของโลกอย่าง NYPD (New York Police Department) ก็ยังหนีไม่พ้นศาสตร์นี้ ถ้าไม่เชื่อลองเปิด youtube แล้วค้นหาคำว่า NYPD ดู ... รับรองคุณจะได้เห็นคลิปที่ตำรวจทำอะไรๆ แล้วโดนด่า ... อย่างจุใจ ถ้าหากภาพและเสียงยังไม่โดนตา ขอให้ลงไปอ่านต่อคอมเมนต์ รับรองว่าจะโดนใจไม่ต่างจากบรรยากาศในเว็บหรือคลิปของประเทศเรา
.
สาเหตุที่ตำรวจต้องถูกด่านั้นสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆว่า นั่นเป็นเพราะลักษณะงานของตำรวจคือการบังคับใช้กฎหมาย และไอ้กฎหมายที่บังคับนี่ก็ไม่ได้เอาไปใช้บังคับปลาโลมาที่ไหน มันใช้สำหรับบังคับประชาชนในรัฐ
เมื่อตำรวจทำงานของตำรวจ ย่อมหมายถึงว่าต้องมีคนถูกตำรวจบังคับ ธรรมชาติของมนุษย์ไม่ชอบให้คนอื่นที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่มาบังคับ ขนาดพ่อแม่ยังบังคับไม่ได้เลยสมัยนี้...
พอรัฐไปกำหนดว่าตำรวจมีหน้าที่ไปบังคับคนอื่น มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ตำรวจจะต้องถูกเกลียดชัง และการเกลียดชังเช่นว่านั้นก็ถูกแสดงออกมาจากคนที่เกลียดโดยทางทวารที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด นั่นก็คือ ‘ปาก’ และเราเรียกความเกลียดชังที่ถูกแสดงออกมาทางปากนั้นว่า ‘การด่า’ (แหม่...อธิบายที ผมนี่ใส่แว่นหนาเตอะ ... ดูเป็นนักวิชาการด้านการด่ามาก)
.
สำหรับใครที่กำลังคิดอยากเป็นตำรวจ ไม่ต้องไปนึกถึงเครื่องแบบ รายได้ ความตื่นเต้นท้าทาย หรืออะไรบวกๆ ทั้งหลาย ไอ้ของเหล่านั้นมันเป็นสิ่งที่เราชอบครับ เป็นแง่มุมของความสุข เราจะได้พบเจอกับมันอย่างแน่นอนในชีวิตของการเป็นตำรวจ
แต่โปรดลองนึกถึงเรื่องลบๆ ง่ายๆ เพียงเรื่องเดียวที่จะต้องเจอแน่ๆ ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาสู่ความเป็นตำรวจ นั่นก็คือ การถูกด่า
ลองนึกดูว่าเราจะสามารถอดทนกับความไม่มีเหตุผลง่ายๆ ข้อนี้ของสังคมนี้ได้รึเปล่า
หากคิดว่ายอมไม่ได้ ไม่มีใครในโลกที่มีสิทธิด่ากู ... บอกได้เลยครับว่าอาชีพตำรวจไม่เหมาะกับคุณ หรือถ้าจะทู่ซี้ลองเป็นตำรวจให้คนด่าดูเล่นๆ สักปีสองปีเผื่อภูมิคุ้มกันจะดีขึ้นก็ตามใจ
แต่บอกไว้ก่อนว่า ที่ท่องกันสมัยเรียนอนุบาลว่า ท.ทหารอดทน ... พอมาเป็นตำรวจแล้วให้ท่องใหม่เลย
“ต.ตำรวจ ต้องอดทนกว่า”
.
###
-นิ้วกลาง-
###
+
+
+
บทความในซีรีย์ #โตขึ้นผมจะเป็นตำรวจ เขียนขึ้นเพื่อเป็น guideline ให้กับน้องๆที่อยากเป็นตำรวจหรือกำลังจะสอบตำรวจนะครับ วางแผนว่าจะเขียนเป็นตอนๆประมาณ 40 ตอน และจะโพสต์ลง 4 ที่ คือ ใน facebook ส่วนตัว , ใน เพจ นิ้วกลาง ใน เพจ EnCop ติวสอบเข้านายสิบตำรวจ และใน blog http://nuiklang.blogspot.com
เนื้อหาจะพูดถึงการสอบในแง่มุมต่างๆ ทั้งเรื่องการเตรียมตัว การสอบ ไปจนถึงการเป็นตำรวจ
อยากให้น้องๆติดตามกัน บทความในซีรีย์นี้ไม่มีข้อสอบ แต่จะทำให้น้องสอบติดได้เป็นตำรวจสมใจทุกคนแน่นอน เพราะพี่กลั่นออกมาจากใจจริงๆ ไม่อยากไม่พลาดครับ สัญญาว่าจะเขียนไม่ยาวมากในแต่ละตอน เพราะน้องส่วนมากเป็น Gen Y ต่อเนื่องถึง Gen Me ... ยาว ไม่อ่าน
ขอบคุณครับ
###
-นิ้วกลาง-
###
:::#1st:::
:::#เป็นตำรวจให้คนด่า:::
.
อาจเป็นอะไรที่ดูมองโลกในแง่ลบไปหน่อยนะครับ แต่ผมกล้ายืนยันในฐานะที่เป็นตำรวจมา 10 กว่าปีแล้วว่าเรื่องนี้เป็นความจริงที่สุด และเป็นของคู่กันกับความเป็นตำรวจซะยิ่งกว่า นกคู่ฟ้า ปลาคู่น้ำ
.
ตำรวจเป็นอาชีพที่ใครหลายๆคนบอกว่าต้องคำสาป ไม่ว่าจะทำดีแสนดีขนาดไหนก็จะได้แค่เสมอตัว แต่ถ้าหากลองเผลอไปทำชั่ว(แล้วมีคนรู้นะ)ดูสิครับ รับรองว่าย่อยยับ
ไม่ต้องดูอะไรมาก เอาแค่เรื่องใกล้ๆตัว แม้แต่ใน facebook ของผมเองก็แทบไม่มีวันไหนเลยที่จะไม่เห็นคนด่าตำรวจ(ทั้งๆที่มันมีผมเป็น friend ด้วยนะ)
ทุกวันนี้หากเราลองเข้าไปในหน้าแฟนเพจของ youlike แล้ว จะพบเลยว่าคลิปตำรวจเป็นอะไรที่ขายดีมาก ยอดเข้าชม ยอดกดไลค์ หรือยิ่งไปกว่านั้นคือยอดคอมเมนต์จะพุ่งสูงมาก ประเด็นที่ว่าคลิปนั้นๆ เป็นเรื่องที่ตำรวจทำไม่ถูกต้องจริงๆ หรือแค่ทำไม่ถูกใจใครบางคนหรือไม่ ไม่ใช่สาระสำคัญ ขอเพียงแค่คนในคลิปเป็นตำรวจ หรือแม้แต่มีตำรวจ(หรือชายไทยแต่งกายคล้ายตำรวจ)เดินหลงทางผ่านเข้ามาในกล้องแค่แวบเดียวก็ตาม สาวก youlike ก็พร้อมที่จะประเคนคำด่าใส่ด้วยถ้อยคำแสนบาดใจ
การโดนด่าของตำรวจนั้นไม่ใช่ว่าจะด่ากันแต่เรื่องลบๆ อย่างเดียว แม้แต่เรื่องบวกๆ อย่างตำรวจปลูกต้นไม้ ตำรวจร้องเพลงเปิดหมวกเอาเงินไปช่วยน้ำท่วมหรือเด็กยากไร้ หรือแม้กระทั่งตำรวจทำคลอดฉุกเฉินก็ยังไม่วายมีคนด่า บางทีผมถึงกับทึ่งในความสามารถของคนพวกนี้ ไม่รู้ไปเรียนจบอะไรมาถึงได้อุตส่าห์มองเห็นความเลวของคนที่ทำอะไรดีๆ กระทั่งเอามาด่าเป็นเรื่องเป็นราวกันได้
.
อันที่จริงศาสตร์แห่งการด่าตำรวจนี่มีอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภูมิภาคหรือซีกโลกไหน ต่อให้เป็นหน่วยตำรวจที่ได้รับความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพการทำงานสูงเป็นอันดับต้นๆของโลกอย่าง NYPD (New York Police Department) ก็ยังหนีไม่พ้นศาสตร์นี้ ถ้าไม่เชื่อลองเปิด youtube แล้วค้นหาคำว่า NYPD ดู ... รับรองคุณจะได้เห็นคลิปที่ตำรวจทำอะไรๆ แล้วโดนด่า ... อย่างจุใจ ถ้าหากภาพและเสียงยังไม่โดนตา ขอให้ลงไปอ่านต่อคอมเมนต์ รับรองว่าจะโดนใจไม่ต่างจากบรรยากาศในเว็บหรือคลิปของประเทศเรา
.
สาเหตุที่ตำรวจต้องถูกด่านั้นสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆว่า นั่นเป็นเพราะลักษณะงานของตำรวจคือการบังคับใช้กฎหมาย และไอ้กฎหมายที่บังคับนี่ก็ไม่ได้เอาไปใช้บังคับปลาโลมาที่ไหน มันใช้สำหรับบังคับประชาชนในรัฐ
เมื่อตำรวจทำงานของตำรวจ ย่อมหมายถึงว่าต้องมีคนถูกตำรวจบังคับ ธรรมชาติของมนุษย์ไม่ชอบให้คนอื่นที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่มาบังคับ ขนาดพ่อแม่ยังบังคับไม่ได้เลยสมัยนี้...
พอรัฐไปกำหนดว่าตำรวจมีหน้าที่ไปบังคับคนอื่น มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ตำรวจจะต้องถูกเกลียดชัง และการเกลียดชังเช่นว่านั้นก็ถูกแสดงออกมาจากคนที่เกลียดโดยทางทวารที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด นั่นก็คือ ‘ปาก’ และเราเรียกความเกลียดชังที่ถูกแสดงออกมาทางปากนั้นว่า ‘การด่า’ (แหม่...อธิบายที ผมนี่ใส่แว่นหนาเตอะ ... ดูเป็นนักวิชาการด้านการด่ามาก)
.
สำหรับใครที่กำลังคิดอยากเป็นตำรวจ ไม่ต้องไปนึกถึงเครื่องแบบ รายได้ ความตื่นเต้นท้าทาย หรืออะไรบวกๆ ทั้งหลาย ไอ้ของเหล่านั้นมันเป็นสิ่งที่เราชอบครับ เป็นแง่มุมของความสุข เราจะได้พบเจอกับมันอย่างแน่นอนในชีวิตของการเป็นตำรวจ
แต่โปรดลองนึกถึงเรื่องลบๆ ง่ายๆ เพียงเรื่องเดียวที่จะต้องเจอแน่ๆ ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาสู่ความเป็นตำรวจ นั่นก็คือ การถูกด่า
ลองนึกดูว่าเราจะสามารถอดทนกับความไม่มีเหตุผลง่ายๆ ข้อนี้ของสังคมนี้ได้รึเปล่า
หากคิดว่ายอมไม่ได้ ไม่มีใครในโลกที่มีสิทธิด่ากู ... บอกได้เลยครับว่าอาชีพตำรวจไม่เหมาะกับคุณ หรือถ้าจะทู่ซี้ลองเป็นตำรวจให้คนด่าดูเล่นๆ สักปีสองปีเผื่อภูมิคุ้มกันจะดีขึ้นก็ตามใจ
แต่บอกไว้ก่อนว่า ที่ท่องกันสมัยเรียนอนุบาลว่า ท.ทหารอดทน ... พอมาเป็นตำรวจแล้วให้ท่องใหม่เลย
“ต.ตำรวจ ต้องอดทนกว่า”
.
###
-นิ้วกลาง-
###
+
+
+
บทความในซีรีย์ #โตขึ้นผมจะเป็นตำรวจ เขียนขึ้นเพื่อเป็น guideline ให้กับน้องๆที่อยากเป็นตำรวจหรือกำลังจะสอบตำรวจนะครับ วางแผนว่าจะเขียนเป็นตอนๆประมาณ 40 ตอน และจะโพสต์ลง 4 ที่ คือ ใน facebook ส่วนตัว , ใน เพจ นิ้วกลาง ใน เพจ EnCop ติวสอบเข้านายสิบตำรวจ และใน blog http://nuiklang.blogspot.com
เนื้อหาจะพูดถึงการสอบในแง่มุมต่างๆ ทั้งเรื่องการเตรียมตัว การสอบ ไปจนถึงการเป็นตำรวจ
อยากให้น้องๆติดตามกัน บทความในซีรีย์นี้ไม่มีข้อสอบ แต่จะทำให้น้องสอบติดได้เป็นตำรวจสมใจทุกคนแน่นอน เพราะพี่กลั่นออกมาจากใจจริงๆ ไม่อยากไม่พลาดครับ สัญญาว่าจะเขียนไม่ยาวมากในแต่ละตอน เพราะน้องส่วนมากเป็น Gen Y ต่อเนื่องถึง Gen Me ... ยาว ไม่อ่าน
ขอบคุณครับ
###
-นิ้วกลาง-
###
5/07/2558
ขีดๆเขียนๆ
::ขีดๆเขียนๆ::
ในช่วงที่ผ่านมา มักจะมีเพื่อนๆ inbox เข้ามาถามผมเกี่ยวกับการเขียนเรื่องราวต่างๆลงในเฟสบุค บางคนใช้ความเป็นกันเองถามอย่างตรงไปตรงมาว่าผมเขียนไปทำไม เขียนให้ได้อะไรขึ้นมา บางคนเลยเถิดไปถึงขั้นเข้าใจว่าผมอยากดัง
ผมบอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยใส่ใจกับความคิดเห็นที่ประกอบขึ้นจากความไม่เข้าใจเจตนารมย์ในการเขียนเหล่านั้น แต่หลายครั้งก็อดไม่ได้ที่จะเก็บบางคำพูดมาคิดตาม สงสัยตัวเองเหมือนกันครับว่าทำไมถึงต้องมาเขียนอะไรๆให้คนอื่นอ่านแบบนี้
ตัดประเด็นเรื่องความอยากดังออกไปก่อนนะครับ ผมไม่ใช่ประทัด บอกตามตรง(อีกครั้ง)ว่าถ้าอยากดัง ผมไปเป็นดารานานแล้ว (ถุย)
.
มีคนเคยกล่าวไว้ว่าการจะเป็นนักเขียนที่ดีได้ต้องเป็นนักอ่านที่ดีก่อน ผมนี่ลุกขึ้นเถียงเลย เพราะผมเป็นนักอ่านที่ห่วยแตกมาก เป็นโรคแพ้ตัวอักษร โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอักษรที่ปราศจากอารมณ์ใดๆอย่างตำราต่างๆ หรือประมวลกฎหมายสมัยที่ยังเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ
เกรดวิชากฎหมายสนับสนุนความจริงข้อนี้ครับ ถึงแม้จะจบมาเกรดเฉลี่ย 3 กว่า แต่เพราะวิชาประเภทศาสตร์แห่งตำรวจล้วนๆ วิชาที่เป็น Pure Law นี่ไปห่างๆ ไม่ถูกกัน
ย้อนกลับไปตอนเรียนที่คณะอักษรฯ ศิลปากร อาจารย์สอนอังกฤษบังคับให้อ่านหนังสือนอกเวลา จำได้ว่ามันเป็นเรื่องของเด็กผู้หญิงชาวญี่ปุ่นคนนึงที่หายตัวไปหรืออะไรแถวๆนั้นนั่นแหล่ะครับ แม้มันจะเป็นหนังสือเล่มบางๆภาษาอังกฤษง่ายๆ ที่ใครๆก็อ่านได้ แต่ฝันไปเถอะ สำหรับคนเกลียดการอ่านอย่างผม การประมวลเรื่องราวจากการหลอกถามเพื่อนคนนู้นทีคนนี้ทีนั้นง่ายกว่าเยอะ
.
เท่าที่จำความได้ ผมชอบเขียนมากกว่าชอบอ่าน
ความรู้สึกชอบเขียนของผมเกิดขึ้นพร้อมๆกับความนิยมในการเขียนไดอารีออนไลน์ของวัยรุ่นยุคนั้น สมัยนั้นผมเริ่มต้นกับ diaryis.com (ไม่รู้ว่าตอนนี้สาบสูญไปจากโลกแล้วรึยัง) เริ่มเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความฝันของตัวเองที่อยากเป็นทหาร-ตำรวจ เกี่ยวกับความรักบ้าง ชีวิตในโรงเรียนปทุมคงคาบ้าง ลุกลามบานปลายมาจนถึงชีวิตนักศึกษาอักษร ม.ศิลปากร ชีวิตนักเรียนนายสิบตำรวจ และก็มีอันต้องเลิกเขียนไปเพราะเว็บมันล่ม (เปรตจริง - _ - ')
หลังจากนั้นเป็นช่วงที่เรียนจบนายสิบและเริ่มรับราชการพอดี Hi5 กำลังระบาดหนัก ผมเลยได้ที่เขียนใหม่ไปโดยปริยาย Hi5 นี่แรกๆก็ดีครับ แต่หลังๆพอเปลี่ยน Theme เปลี่ยนสีสันอะไรๆได้ก็เริ่มเลอะเทอะมากขึ้น พอ facebook มาถึงโลกของผม ความเรียบง่ายของสีขาวกับสีฟ้าก็ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยและรู้สึกสงบมากกว่าที่จะเขียนอะไรต่อมิอะไรลงไป
ใครที่ถามถึง Blog ผมมีครับ แต่ไม่ถนัด เพราะฉะนั้นไม่ต้องถาม
.
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า การเขียน หรือ สิ่งที่ผมเขียน มันดีมั้ย แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้ก็คือ ยิ่งผมเขียนมากเท่าไหร่ผมยิ่งรู้สึกอยากเรียนรู้มากขึ้นเท่านั้น
ถึงจะออกตัวว่าชอบเขียนมากกว่าชอบอ่าน แต่เผลอแพล็บเดียว กลับพบว่าผมมีหนังสืออยู่ที่บ้านเป็นพันๆเล่ม นึกย้อนไปถึงทุกครั้งที่ต้องย้ายที่อยู่ ตั้งแต่ย้ายกองร้อยตอนขึ้นชั้นปี จนถึงย้ายที่ทำงาน ย้ายบ้าน ผมจะต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวันไปกับการจัดระเบียบหนังสือของผมลงลังที่หามาสำหรับพวกมันโดยเฉพาะเสมอๆ (และมันก็หนักมากกกกก)
พวกของใช้เสื้อผ้านี่ไม่ถนอม หายไปแตกหักไปหาใหม่ได้ แต่หนังสือนี่ใครทำยับ เคือง ... ใครที่เปิดหนังสือให้มันแแบะๆ หรือแบบเปิด-วาง-รีด ผมนี่อยากจะฆ่าแม่ง
.
น่าแปลก ที่ความชอบเขียน ทำให้ผมกลายเป็นคนชอบอ่านแบบไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่ผ่านร้านหนังสือ ผมต้องเดินเข้า และมักจะอดไม่ได้ที่จะซื้ออย่างน้อย 1 เล่มติดมือออกมา สาวๆท่านใดมีโอกาสเดินห้างกับผม ถ้าอยู่ดีๆผมหายไป ไม่ต้องโทรตามนะครับ เปลืองตังค์ เดินเข้าไปหาในร้านหนังสือ รับรองเจอตัวแน่นอน
ใครที่ห้ามผมเข้าร้านหนังสือหรือซื้อหนังสือ ขอแนะนำให้ไปห้ามสายน้ำให้หยุดไหลจะง่ายกว่า (แหม่ ... คมกริบ)
.
ตอนนี้ผมกลายเป็นคนรักการอ่านไปแล้ว แม้ไม่รู้ว่านักเขียนกับนักอ่านอะไรเกิดก่อนกัน แต่ถ้าไม่มีนักหนึ่ง อีกนักหนึ่งก็ไม่เกิด ถึงจะเกิดก็ไร้ค่า แต่สิ่งหนึ่งที่ผมค้นพบจากการเป็นคนชอบเขียนก็คือ ผมรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเป็นกรวยอันนึง ที่ทำหน้าที่บีบความคิดดีๆจากเรื่องที่ผมเคยอ่าน ลงไปในแก้วใบหนึ่งของคนที่กำลังจะได้อ่านเรื่องที่ผมเขียน
หลายครั้ง (ส่วนมากซะด้วย) ยอมรับว่าเขียนโดยอาศัยแรงบันดาลใจจากบทความของคนอื่นๆ แต่ผมเชื่อว่าไม่มีนักเขียนคนใดในโลกที่ไม่เคยอ่านหนังสือของคนอื่น หรืออ่านแล้วไม่จดจำเรื่องดีๆมาเขียนใหม่ด้วยภาษาของตัวเอง
การอ่านจากหนังสือของคนอื่นเล่มเดียวแล้วเอามาเขียนใหม่อาจถูกเรียกว่าการลอก แต่การอ่านจากหนังสือของคนอื่นหลายๆเล่มแล้วเอามาเขียนใหม่ ผมถือว่ามันเป็นการสร้างสรรค์ที่เกิดจากการค้นคว้า
.
เหนืออื่นใด ผมกำลังเริ่มรู้สึกว่าการเขียนกำลังเริ่มจะสร้างความสุขแปลกๆอย่างหนึ่งให้กับผม
รูปถ่ายที่ผมแนบมากับบทความนี้ คือรูปถ่ายที่เพื่อนคนหนึ่งใน facebook ซึ่งรู้จักกันผ่านสิ่งที่ผมเขียน ส่งมาให้ เธอเอาบทความที่ผมขียนและรวมเล่มไปอ่านในชีวิตช่วงว่างของเธอ
ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าผมมีความสุขที่เห็นภาพนี้
ถึงแม้การเขียนจะยังไม่ได้สร้างรายได้ให้ผมอย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่ผมรู้สึกว่าผมกำลังได้อะไรมากกว่ารายได้... และที่สำคัญคือผมไม่เคยคาดหวังมันเลย ตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มเขียน
แค่มีคนอ่านเรื่องที่ผมเขียนก็มีความสุขระดับหนึ่งแล้ว แต่ถึงขั้นมีคนยอมจ่ายตังค์เพื่ออ่านมัน ก็คิดเอาเองว่ามันจะรู้สึกไปถึงระดับไหน (หน้าเลือดนั่นเอง)
.
การอ่านทำให้ใครหลายๆคนมีความสุข แต่คงจะดีกว่าถ้าเราแบ่งปันความสุขนั้นให้คนอื่นๆได้ด้วยการเขียน
ผมเชื่อว่าชีวิตทุกคนมีความไม่ธรรมดาในตัวของมันเอง
เราไม่มีทางรู้หรอกว่าเรื่องบางเรื่องของเราอาจช่วยฉุดกระชากคนบางคนให้ขึ้นมาจากห้วงแห่งความหลงผิดหรือความทุกข์ได้ จนกว่าเราจะลองเขียนบทความดีๆสักเรื่องหนึ่งขึ้นมา
ที่เขาว่ากันว่าคนไทยอ่านหนังสือน้อย นั่นอาจเป็นเพราะยังมีคนที่คิดดีๆทำดีๆเพียงส่วนน้อยที่เขียนหนังสือดีๆให้คนได้อ่านก็เป็นได้ (จะจริงหรือไม่จริงทางสถิติก็ช่างมันเถอะ ผมเขียนเอาเท่)
.
เขียนเถอะครับ...แล้วคุณจะพบความสุขแปลกๆอย่างที่ผมพบ
.
ฝากไว้อีกเรื่อง ถ้าเราเขียนอะไรยาวๆ แล้วมีคนมาโพสต์ว่า "ยาว!ไม่อ่าน!" หรืออะไรแถวๆนั้น ให้นิ่งเสีย เพราะคนพวกนั้นกำลังบอกโลกรับรู้ถึงคุณภาพของเขาอยู่
มันเป็นเรื่องของเขากับโลก
มันไม่ใช่เรื่องที่เราต้องเข้าไปยุ่งหรือใส่ใจ
###
-นิ้วกลาง-
###
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)