8/27/2552

รูปธรรม นามธรรม

สองคำนี้ลึกซึ้งครับ

มันจะเกิดคู่กันตลอด

นามธรรมเกิดก่อน แล้วแปรสภาพเป็นรูปธรรม...

 

เพื่อความไม่เครียด ขออธิบายง่ายๆ

นามธรรม ก็คือ สิ่งที่ไม่สามารถสัมผัสได้

แน่นอน...

รูปธรรม สัมผัสได้

 

Abstract

กับ

Concrete

 

อันที่จริงโลกนี้มี "นามธรรม" มากกว่า "รูปธรรม"

นามธรรมหลายอย่าง มนุษย์ยังไม่สามารถสื่อความหมายออกมาเป็นรูปร่างได้

เช่นของใกล้ๆตัว

อย่า่ง "ความดี"

 

"ความดี" เป็นนามธรรม เมื่อมนุษย์ต้องการสื่อให้เป็นรูปร่าง ก็มักจะมาในรูปของ "สีขาว"

แต่หารู้ไม่ ... ยังมีมนุษย์บางกลุ่มเชื่อว่า "สีขาว" นั้นไม่ดี

ขงจื๊อเชื่อว่าสีขาวคือความเศร้าและความตาย

สำหรับชาวอินเดีย สีขาวถูกสงวนไว้สำหรับเครื่องแต่งกายของสตรีที่สามีตาย

 

คนไทยเคารพนับถือสมเด็จพระนเรศวร...

พระนเรศวรประกาศอิสรภาพ ยกทัพไปตีหงสาวดี

ทรงเป็น "วีรกษัตริย์" สำหรับคนไทย เรายกย่องถึง "ความดี"ของพระองค์

แต่สำหรับคนพม่า...

ลองคิดในทางกลับกันดู คนพม่าก็คงรู้สึกกับพระนเรศวร ไม่ต่างจากที่เรารู้สึกกับ "บุเรงนอง"

แล้วอย่างนี้ ... จะเอาอะไรมาวัดว่าวีรกรรมของพระองค์เป็น "ความดี"

การกระทำเดียวกัน ... อาจ "ดี" และ "ร้าย" พร้อมๆกัน

 

ฉะนั้นแล้ว แม้เราจะพยายามใช้ "รูปธรรม" อธิบาย "นามธรรม" เท่าไร เราก็ไม่สามารถจำกัดความ "รูปธรรม" ได้อย่างถูกต้อง 100%

 

แปลกแต่้จริง...

สากลทั่วโลกกลับยอมรับและยึดถือ "รูปธรรม" มากกว่า...

พีรามิด คือ ความเป็นพระเจ้าของฟาโรห์

ทัชมาฮาล คือ ความรักของพระเจ้าชาห์ที่มีต่อพระมเหสีอรชุมันท์

กำแพงเบอร์ลิน คือ ความเป็นโลกเสรี กับโลกคอมมิวนิสต์

บ้านเราก็มี...

สุพรรณหงษ์ นารายณ์ทรงสุบรรณ

พาลีรั้งทวีป สุครีพครองเมือง

อนันตนาคราช เอนกชาติภุชงค์ ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือ ความเป็นสมมติเทพของพระมหากษัตริย์ไทย

 

เมื่อทั่วโลกยอมรับนับถือ "รูปธรรม" ใช้่รูปธรรมอธิบายความหมายของ "นามธรรม"

เกียรติยศ ศักดิ์ศรี จึงกลายเป็น "เครื่องแบบ"

หน้าที่ ความรับผิดชอบ จึงกลายเป็น "ตราสังกัดกรมกอง"

 

เครื่องแบบชุดเต็มยศที่ท่านทั้งหลายเห็นผมแสดงขึ้นเป็นภาพประจำโปรไฟล์จึงเป็นตัวแทนแห่งเกียรติยศ ศักดิ์ศรี หน้าที่ และความรับผิดชอบ

ที่ครั้งหนึ่ง...ผมเคยได้รับ

ครั้งหนึ่งในชีวิต...กับเกียรติยศอันสูงสุด

ครั้งหนึ่งในชีวิต...กับศักดิ์ศรีแห่งความเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ

ครั้งหนึ่งในชีวิต...กับหน้าที่อารักขาและถวายความปลอดภัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์

และ

ครั้งหนึ่งในชีวิต...กับความรับผิดชอบต่อพระชนม์ชีพของพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า

 

ตำรวจน้อยคนนัก...ที่จะได้ใส่เครื่องแบบนี้

เครื่องแบบเต็มยศกรมพระตำรวจสีกากี

หมวกทรง Pith helmet ประดับยอด

อินทรธนูแข็งพื้นสีเลือดหมู

อกเบื้องขวาประดับเครื่องหมายความสามารถต่อต้านการก่อความไม่สงบ

อกเบื้องซ้ายประดับเหรียญตราประจำรัชกาล

ประดับสายคันชีพสะพายแล่งพาดบ่าซ้าย

เข็มขัดหนังสีขาวหัวโลหะตราโล่ห์เขน

 

ตำรวจน้อยคนนัก...ที่จะได้รับผิดชอบหน้าที่นี้

หน้าที่อารักขาและรักษาความปลอดภัยพระราชวงศ์

หน้าที่ในพระราชพิธีถวายเพลิงพระศพตามโบราณราชประเพณี

หน้าที่ในเขตราชวัตร หรือเขตพระราชฐานชั้นใน

และที่สำคัญ...

ตำรวจน้อยคนนักที่จะได้วันธยาหัตขณะเพลงสรรเสริญพระบารมีบรรเลง

และมี"องค์พระบารมี"ที่เราสรรเสริญประทับยืนอยู่ต่อหน้าต่อตา...

 

น้อยคนนักจะเข้าใจความรู้สึกอันเป็น "นามธรรม" ทั้งหลาย

ที่ถ่ายทอดออกมาเป็น "รูปธรรม" ตามที่ได้เห็น...

 

รูปโปรไฟล์นี้ไม่ได้สื่อถึง "รูปธรรม"

แต่เป็น "นามธรรม" ที่ผมสุดแสนภาคภูมิใจ

ใครไม่เคย "สัมผัส" ไม่รู้หรอก!

8/19/2552

กระบี่ไร้เทียมทาน

เขาว่ากันว่า "นักเรียนนายร้อยตำรวจ" เป็นเด็กอัจฉริยะ

หลับตลอดเทอม เล่นกีฬาตลอดปี รู้สึกตัวอีกทีได้ A เฉย...+

อัจฉริยะข้ามคืน ... วิชาไหนสอบพรุ่งนี้ คืนนี้ประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆค่ิอยอ่าน กลัวว่าอ่านเก็บไว้เยอะๆเดี๋ยวข้อมูลจะเน่าคาสมอง

ครับ...และแล้วฤดูกาลสอบของ นรต.ก็มาถึง

สอบผ่านไปแล้ว 2 วัน 4 วิชา สำหรับชั้นปีที่ 3...+

วันแรกสอบ 2 วิชา

สืบสวน2 กับ บริหารงานตำรวจ2

วันนี้สอบผ่านไปอีก 2 วิชา

ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม1 กับ การจราจร

แล้วแล้วก็เป็นไปตามคาด ที่ผมสามารถคว้าตำแหน่งนักบริหารอันดับ 1 ไปครอง...เพราะออกจากห้องสอบคนแรก...+

น่าเสียดายที่ได้เป็นแค่นักสืบมือวางอันดับ 2 เพราะเพื่อนตัดหน้า ส่งข้อสอบวิชาสืบสวนก่อนไ่ม่ถึงนาที ((ผมดันไปเสียเวลาขีดเส้นใต้))

ตำแหน่งยอดมือปราบก็ตกเป็นของเพื่อนร่วมแก๊ง

ส่วนตำแหน่งนักซิ่งสายฟ้า ผมก็คว้ามาแค่อันดับที่ 2

เฮ่อออออออ...+

เราก็ต้องมาติดตามกันต่อไปว่าวันศุกร์นี้ "ใครจะเป็นพนักงานสอบสวนดีเด่น"

+

ตลอดช่วงเวลาของการสอบที่ผ่านมา ได้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดๆอย่างอย่างในห้องสอบ ที่จะไม่ลืมเขียนถึงเลยก็คือเรื่องของ "นักเรียนหญิง"ครับ

เชื่อมั้ยว่าไอ้น้องพวกนี้ มัน"หลับ"ในห้องสอบครับ

ไม่ใช่แค่วูบๆวาบๆ แต่มันหลับกันเอาเป็นเอาตาย หลับกันจริงจัง

ไอ้น้องคนที่นั่งข้างๆผมก็โยกไปโยกมา ตอนแรกๆนึกว่ามันกำลังใช่ความคิด หันไปดู...อ้าปากหวอ

เหลือบไปมองข้างหน้า ไอ้นั่นก็ฟุบราบคาบไปกับโต๊ะเลย...อะไรกัน

มึงจะหลับกันจนวินาทีสุดท้ายของการเป็น นรต.เลยใช่มั้ย?

ไอ้ตอนเรียน แล้วหลับเนี่ยไม่ว่าครับ เรื่องปกติ

แต่ตอนสอบ มึงยังหลับกันสนุกสนานอีก ... อาไรของมึ๊งงงงงง

ผม นึกย้อนไปถึงปีที่แล้ว ตอนที่ ผบ.โรงเรียนบอกว่า ปีหน้าจะเปิดรับนักเรียนหญิง คิดว่าพอมีนักเรียนหญิงแล้ว คงเป็นส่วนช่วยผลักดันให้นักเรียนชายมีความตื่นตัวในการเรียน ไม่หลับอย่างที่เคย

แต่พอรับเข้ามาจริงๆ ทั้งหญิงทั้งชายมันพากันหลับเป็นเสียชีวิตเหมือนกันหมด...

ยิ่งนักเรียนหญิงยิ่งตัวดี เข้าเรียนไม่ถึง 5 นาที แม่ตั้งแท่นเตรียมถอดจิต...

ไอ้เด็กผู้ชายเห็นเพื่อนผู้หญิงตั้งแท่น ก็กูเอามั่งสิครับ ...+

สรุป เอาเข้ามากระตุ้นจริง ... กระตุ้นให้ยิ่งหลับกันขึ้นไปอีก

ปัญหาโลกแตกของนักเรียนนายร้อยจริงๆครับ

ไอ้เรียนแล้วหลับ สอบแล้ว A เนี่ย แก้ไม่ได้จริงๆ ...+

รักษาความเป็นนักเรียนนายร้อยไว้ไอ้น้อง

อย่าลืมว่า นรต. ย่อมาจากอะไร

"นอนเรียนตลอด"

8/11/2552

ผู้ให้

การ"ให้"เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ครับ

แม้แต่ในชาดกชาติสุดท้ายที่พระโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อการบรรลุพระโพธิญาณ

พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราท่านก็เสวยพระชาติ ชาติสุดท้ายเป็น "พระเวสสันดร" เพื่อบำเพ็ญ "ทานบารมี" หรือบารมีแห่งการ"ให้"

เรียกได้ว่า หากว่าแม้จะสะสมบารมีต่างๆมามากมายเพียงใด แต่ถ้าหากบำเพ็ญ "ทานบารมี" ไม่ถึงขั้น "อุกกฤต" แล้ว บารมีแห่งการบรรลุพระโพธิญาณก็ยังไม่บริบูรณ์

พระเวสสันดรจึงต้อง "ให้" ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีคนมาขอ แม้แต่เวียงวัง พระมเหสี พระราชบุตร พระราชธิดา ไม่เว้นแม้แต่การให้"ชีวิต"

จนในท้ายที่สุด "ทานบารมี" ของพระองค์ท่านก็บริบูรณ์เพียงพอต่อการบรรลุพระโพธิญาณ ตรัสรู้ในพระชาติของเจ้าชายสิทธัตถะ...ชาติสุดท้าย...ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมพระบรมศาสดา

เรื่องของชาดกนั้น ถ้าเรามาดูกันแบบปุถุชนคนทั่วไป มันก็ยากจะเชื่อ ... คนที่ไหนจะยอมยกลูกเมีย สมบัติให้กับคนอื่นง่ายๆ

ผมก็อยากจะเจอคนรวยๆซักคนที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน...ผมจะได้ช่วยเขาเร่งทานบารมีให้รีบๆเต็ม

แต่อันที่จริงแล้ว...เรื่องของการให้หรือทานบารมีนั้น มันอยู่ใกล้ตัวของผมซะเหลือเกิน

ใกล้ซะจนต้องนึกสมเพชตัวเองทันทีที่คิดได้ว่า...จะไปมองหา "พระเวสสันดร ยุค 2009" ได้จากที่ไหน

จะใครอื่นล่ะครับ..."แม่"ของผมเอง เธอคือยอดหญิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกระแสแห่งการบำเพ็ญทานบารมี



มันทำให้ผมนึกถึงคำกล่าวที่ว่า "มารดาเป็นพระอรหันต์ของบุตร" ซึ่งจริงๆแล้วผมไม่เคยคิดวิเคราะห์ตามคำกล่าวนี้เลย เคยรู้สึกแต่ว่าเป็นแค่การอุปโลกน์ให้ลูกเคารพบิดามารดาดุจพระอรหันต์

ซึ่งวันนี้ผมค้นพบว่าผม...คิดผิด!

ถ้าจะเปรียบเทียบพระโพธิสัตว์กับแม่ ก็คงไม่ไกลเกินจริงนัก

เพราะคุณธรรม หรือบารมีของท่านทั้งสองนั้นไม่ได้ต่างกันเลย

แม่เป็นผู้ให้มาตลอด เริ่มตั้งแต่ให้ชีวิต ให้ความรัก ให้การศึกษา เหนืออื่นใด...แม่ให้คุณธรรมกับผมมาตลอดไม่เคยขาด

คนแถวบ้านมักจะพูดตลอดเวลาว่า "ถ้าแม่ผมตำหนิใคร คนๆนั้นต้องเป็นมนุษย์ที่ซวยที่สุดในโลก" ซึ่งตั้งแต่ผมเกิดมาจนโตเป็นควายป่านนี้แล้ว ก็ยังไม่เคยได้เห็นไอ้มนุษย์เฮงซวยคนนั้นสักที

อยากให้ทุกคนได้ลองมาสัมผัส กระแสแห่ง "ทานบารมี" ที่แม่ของผมมีอย่างล้นเหลือ ซึ่งแม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังสัมผัสได้ถึงกระแสแห่งทานนี้...

ถ้าจุดมุ่งหมายแห่งการบำเพ็ญทานบารมีของพระโพธิสัตว์คือการบรรลุพระโพธิญาณแล้ว

พระโพธิสัตว์ที่บ้านของผมก็คงใกล้ขั้น "อุกกฤต" เต็มที

ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผมจะประพฤติตัวให้อยู่ในคุณธรรมอันดีที่แม่ได้สั่งสอนมาตลอด เป็นตำรวจที่ดีของประชาชน ประเทศชาติและพระราชบัลลังก์ได้มากขนาดไหน...

แต่ยังไงผมก็ขอสัญญาครับว่า พระโพธิสัตว์ท่านนี้...จะได้บรรลุพระโพธิญาณแน่นอน...

8/08/2552

เสียงครวญจากช้างไทย

ก็เข้าใจ"แพนด้า"นั้นน่ารัก

ก็ตระหนักตรึกตรองว่า"ของใหม่"

ก็รู้ดีความสัมพันธ์ทั้ง"จีน-ไทย"

แต่น้อยใจนิดหน่อยค่อยๆฟัง



ที่แห่แหนเห่อนักชักฉงน

คนหนอคนลืมถิ่นสิ้นความหลัง

ลืมบุญคุณตายายทั้ง"พลาย-พัง"

ลืมเวียงวังบ้านเมืองเรื่องเก่ากาล



ทวดกูสู้อุตส่าห์เป็นข้าบาท

รับใช้ชาติจนกระเดื่องเรื่องเล่าขาน

วีรกรรมล้วนเห็นเป็นตำนาน

พงศาวดารจารึกสำนึกคุณ



เมื่อคราวครั้งพุกามเข้าคามคุก

ทวดกูบุกออกหน้าฝ่ากระสุน

ทั้งคมหอกศาสตรามาชุลมุน

ทวดกูดุนบุกดั้นไม่หวั่นใจ



ยังอีกองค์กษัตริย์ขัตติยา

ทวดกูพาพระพิภพรบถึงไหน

ทั่วเขตขันธ์ถิ่นแคว้นแผ่นดินไทย

ทวดรับใช้เป็นช้างทรงองค์ภูมี



พระนเรศฯพระเอกาฯพระนารายณ์ฯ

ก็ใช้กายทวดกูกู้ศักดิ์ศรี

คราวเจ้าตากหมายมั่นจันทบุรี

ทวดกูนี้ก็พังเมืองเลื่องลือนาม



กูพูดได้เต็มคำย้ำให้เห็น

ว่ากูเป็นสัตว์ใหญ่ใครเกรงขาม

แผ่นดินนี้ทวดกูสู้กู้เขตคาม

จน"สยาม"เป็นประเทศเขตธานี



แต่ดูเถิดวันนี้"ค่า"มีไหม

หรือพอไร้ประโยชน์ก็โดดหนี

เมื่อสิ้นศึกก็สิ้นค่าราคามี

เป็นเพียงที่เต้นโชว์โอ่ต่างแดน



พอ"แพนด้า"เข้าเมืองก็เรื่องใหญ่

อ้างสัมพันธ์"จีน-ไทย"ให้แน่นแฟ้น

หลบเถิด"ช้าง"แพนด้าเขามาแทน

สัมพันธ์แค้น"ไทย-พม่า"ไม่น่าดู



เพิ่งจะรู้พวกกูนี้ไม่มีค่า

รับใช้ชาตินานมาน่าอดสู

ทั้งเลือดทวดเนื้อตากระดูกปู่

ไม่อาจสู้ "แพนด้า" น่าน้อยใจ



จงชำระประวัติศาสตร์กันเสียเถิด

อย่าให้เกิดบุญคุณเห็นเป็นไหนไหน

"กู"ไม่เคยต่อสู้กู้ชาติไทย

"กู"ไม่เคยรับใช้กษัตรา



"กู"ไม่เคยเป็นสัตว์ประจำชาติ

"กู"ไม่เคยองอาจดุจยักษา

"กู"ไม่เคยถูกใช้ในยุทธนา

"กู"ไม่เคยมีค่าต่อคนธานี



อดีตนั้นพระภูมีขี่หมีรบ

อดีตนั้นพระพิภพทรงโปรดหมี

อดีตนั้นแพนด้ากล้าโยธี

อดีตนั้นพวกกูนี้แค่สัตว์พาล...