5/20/2552
พระมหากรุณาธิคุณ
ผมได้มีโอกาสเป็นตัวแทนของ รร.นายร้อยตำรวจ พร้อมกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆนรต.ทั้งหญิงและชายอีกกว่า 160 ชีวิต เข้าร่วมภารกิจสำคัญอันดับ 1 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
หลังจากที่เคยปฏิบัติภารกิจลักษณะนี้มาแล้ว เมื่อครั้งงานถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระพี่นางเธอฯ
"ภารกิจรับเสด็จ" ภารกิจอันทรงเกียรติของข้าราชการทุกหมู่เหล่า ไม่เว้นแม้แต่ตำรวจ ... แม้แต่ชาวบ้านสามัญชนเองก็ตาม ถ้าได้มีโอกาสรับเสด็จสักครั้ง ก็ถือว่าคุ้มค่ากับชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภาร
ครั้งงานสมเด็จพระพี่นางเธอฯนั้น ผมถือว่าเป็นจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว เพราะได้ทำหน้าที่เป็น "ตำรวจราชองครักษ์" ถวายอารักขาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ซึ่ง นรต.เท่านั้นที่ได้รับเกียรตินี้ นักเรียนนายร้อยเหล่าอื่นได้เพียงแต่ทำหน้าที่ "ชักลาก" พระศพ ซึ่งก็ถือว่ามีเป็นเกียรติยศสูงสุดของชีวิตไม่แพ้กัน
แต่ด้วยเพราะโบราณราชประเพณี...นักเรียนนายร้อยตำรวจ จึงได้ทำหน้าที่ถวายอารักขาใน "เขตราชวัตร" ซึ่งเป็นเขตพระราชฐานชั้นใน ที่ประดิษฐานพระศพ
จังหวะช่วงเวลาเวรของผมเป็นเวลาพิธีพอดี พูดง่ายๆภาษาชาวบ้านว่า "เผาหลอก" ผมก็เลยได้มีโอกาส ...วันทยาหัตถ์ถวายความเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ในชุดเครื่องแบบเกียรติยศนักเรียนนายร้อยตำรวจ หมวกยอด ติดเหรียญตรา... ซึ่ง นรต.รุ่นพี่ๆ หรือแม้แต่รุ่นน้องต่อไปอีกหลายสิบรุ่น อาจไม่มีโอกาสได้กระทำเช่นนี้
ครั้งนั้น...นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้ว สำหรับชีวิตผม
ที่เคยใส่ชุดทหารของพ่อและซ้อมทำความเคารพหน้ากระจก และคาดหวังมาตั้งแต่เด็กว่าจะได้มายืนถวายความเคารพเฉพาะพระพักตร์...
ในครั้งนั้น ฝันเป็นจริง... ผ่านมานานพอประมาณ ยิ่งพิมพ์ก็ยิ่งขนลุก
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
สำหรับครั้งนี้นั้น ต่างจากครั้งก่อนตรงที่เป็นการ "ส่งเสด็จ" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถ เสด็จนิวัติพระราชวังไกลกังวล
แม้ไม่ได้สวมเครื่องแบบเกียรติยศ ไม่ได้สวมหมวกยอด ไม่ได้ติดเหรียญตรา แต่ความภาคภูมิใจและปลาบปลื้มนั้น มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
เวลาประมาณ 20.00 น. พวกเราตั้งแถวรอส่งเสด็จพี่แยกพุทธมณฑลสาย 7
ผมได้ยินคำพูดจากนายตำรวจปกครองและเพื่อนๆที่เคยมาว่า ครั้งที่แล้วพอท่านเสด็จผ่านตรงจุดที่เรายืนส่งเสด็จ รถพระราชพาหนะชะลอความเร็วกระทันหัน ไฟในรถเปิด แล้วสมเด็จพระนางเจ้าก็ทรงโบกมือทักทายพวกเรา
ครั้งนี้ผมก็หวังเช่นนั้น...
เมื่อรถตำรวจกรุยทางคันแรกผ่านหน้าแถว อันเป็นสัญญาณว่าขณะนี้ขบวนเสด็จอยู่ใกล้เข้ามาอีก 3 กิโลเมตร หางตาผมก็เหล่มองไปทางขวา ใจจดจ่ออยู่กับขบวนเสด็จที่จะตามมา
รถกรุยทางคันที่ 2 ผ่านหน้า ใจผมเริ่มเต้นเร็วขึ้น เพราะพระองค์ท่านอยู่ห่างออกไปเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น
และแล้วไฟวับวาวของขบวนเสด็จก็ส่องแสงแทงหางตาของผม นายตำรวจผู้ควบคุมแถวสั่ง "ถวายความเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางจ้าพระบรมราชินีนารถ ทางขวาระวัง!!"
รถขบวนที่ขับมาด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามมาตรฐานขบวนเสด็จ ค่อยๆชะลอความเร็วลง ... "ชะลอแล้ว..." ในใจผมคิดด้วยความปิติ
จำได้แม่นยำ...รถคันที่ 3 ประดับธงมหาราช ธงตราครุฑอันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่า สมเด็จท่านทั้งสองประทับอยู่ในรถคันนี้ ค่อยๆเล่นผ่านด้านหน้าผม ไฟในเก๋งรถยนต์พระราชพาหนะสีเหลืองนวลสว่างไสว...
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถ ทรงพระสรวลและโบกพระหัตถ์ทักทายพวกเรา
เสียง "ทรงพระเจริญ!!!" ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ มันไม่ได้มาจากการฝึก หรือนัดแนะให้ปฏิบัติ แต่มันออกมาจากใจของพวกเรา เหล่านักเรียนนายร้อยตำรวจ...ผู้ปลาบปลื้มและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณครั้งนี้
รถพระที่นั่งเคลื่อนผ่านพวกเราไปช้าๆ แล้วเร่งความเร็วขึ้นตามลำดับเมื่อผ่านแถวของพวกเราไป...
น้ำตาของตำรวจไทยตัวเล็กๆ คลอเบ้าด้วยความปลื้มปิติ
"ท่านชะลอรถ ท่านชะลอรถ..." ผมได้แต่คิดอยู่อย่างนี้วนไปวนมา...
...สถาบันนี้...คือสถาบันสูงสุดของประเทศ
เป็นสัญลักษณ์และศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทย
ครูสอนภาษาจีนของผม ซึ่งท่านเป็นตำรวจจากสถาบันนายตำรวจยูนนาน เคยถามผมเมื่อครั้งที่ รร.นายร้อยตำรวจมีการหยุดยาว ท่านถามเป็นภาษาอังกฤษว่า "หยุดเนื่องในโอกาสอะไร"
ผมตอบท่านว่า "to celebrate for my king"
เชื่อหรือไม่ครับ ท่านพูดตอบกลับมาว่า "your king? ... my king too!"
ถ้าท่านได้ยินคำนี้จากปากคนต่างชาติ ท่านจะรู้สึกยังไงครับ...
ณ เวลานั้น ผมรู้สึกยิ่งกว่าที่ท่านรู้สึก... 100 เท่าครับ
พร้อมรึยางงงงง...!!
ตอนเข้าโปรแกรมมันจะมีเมโลดี้เพลง "ค้างคางกินกล้วย" และก่อนจะเริ่มต้นการพิมพ์มันจะมีเสียงเล็กๆน่ารักๆ ร้องว่า "พร้อมรึยางงงงง..." เมื่อกด spacebar เวลามันก็จะพุ่ง...เริ่มพิมพ์จับเวลากัน
โปรแกรมนี้ถูกบรรจุเข้าเป็น 1 ในอุปกรณ์การฝึกของ นรต.ชั้นปีที่ 3 ครับ เป็นหลักสูตรพิเศษที่ ผบ.ร้อย ท่านจัดให้...
จุดประสงค์เพื่อให้ นรต.สามารถพิมพ์ดีดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกติกาง่ายๆ ใครพิมพ์ไม่ได้ตามจำนวนคำและเวลาที่กำหนดไว้ เสาร์-อาทิตย์นั้นจะต้องอยู่ฝึกปรือวิทยายุทธ์ที่โรงเรียน พูดง่ายๆก็คือ "โดนกัก" นั่นเอง
ในภาวะปกติ ถ้าผมเดินผ่านห้องเพื่อนในกองร้อย มักจะได้เห็นภาพเพื่อนๆนั่งประจำ notebook ของตัวเอง เปิด MV Girl Generation ดูซีรีย์เกาหลี เล่มเกม เล่น hi5 บ้างนั่งขัดรองเท้าโดยเปิดเพลงทั้งเก่า ทั้งใหม่ New release เพลงฮิตติดชาร์จทั้งไทยทั้งเทศท่าทางสบายใจ
แต่ถ้ามีการปล่อยข่าวว่าภายในสัปดาห์นั้นจะมีการเทสต์พิมพ์ดีด ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ เมื่อเดินผ่านไปห้องไหน จะเห็นเพื่อนๆนั่งหน้าเครียดอยู่หน้าจอคอม ...จิ้งจกอย่าร้อง หญิงท้องอย่าทัก... สติสัมปชัญญะทั้งหมดพุ่งตรงไปที่บทความหน้าจอ ปลายนิ้วสัมผัสอย่างกระวนกระวาย
... เสียงเพลง Ge Ge Ge Ge...Be Be Be Be Be ไม่มีให้ได้ยินในช่วงสัปดาห์นั้น เพลงฮิตติดชาร์จของ นรต.ชั้นปีที่ 3 กลับกลายเป็นเพลง "ค้างคาวกินกล้วย" กับเสียงหวานๆหลอนๆ "พร้อมรึยางงงงง...!!"
และเมื่อวันทดสอบมาถึง...
บางคนพิมพ์สัมผัส
บางคนจิ้มสัมผัส (ทวิดัชนี 2 นิ้วชี้สร้างโลก)
นับว่าฟ้ายังเมตตา อากงอาม่ายังเอ็นดู ... ที่คอร์สนี้ไม่สนใจวิธีการจะพิมพ์ จะจิ้ม จะใช้นิ้วเท้าก็ได้ ขอแค่ทันเวลา...ผมถึงรอดมาได้ทุกครั้ง
20 คำ/นาที ผ่าน
25 คำ/นาที ผ่าน
30 คำ/นาที ผ่าน
พรุ่งนี้ 35 คำ/นาที ครับ ... ขอตัวไปซ้อมจิ้มก่อนนะคร๊าบบบบ ... พร้อมรึยางงงงงงง....!!
5/16/2552
นรต.หญิง
"รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง"
มีใครไม่รู้มั่งครับว่านี่เป็นอมตะวาจาของ "ซุนวู"
คงไม่มีนะครับ เพราะประโยคนี้ฮิตเหลือเกิน...
วันนี้ผมไม่ได้มาเขียนเกี่ยวกับหนังจีนนะครับ ... เดี๋ยวจะหาว่าไอ้เบนซ์เรียนภาษาจีนมาแล้วกำแพงเมืองจีนขึ้นสมอง นึกอะไรเป็นจีนไปหมด
ช่วงนี้ยังอยู่ในกลิ่นอาย...ต้องขออนุญาตใช้คำนี้ครับ เพราะมันอาจจะดูจางๆแต่ยังวนเวียนและมีตัวตนอยู่
กลิ่นอายของ นรต.หญิง ครับ
หลังจากเสียงแตรปลุกตอน 05.30 แล้ว นรต.ทั้งโรงเรียนก็มีอันต้องถ่างตาขึ้นมาเผชิญชะตากรรมประจำวัน โปรแกรมแรกก็คือการ "วิ่ง" ครับ
พวก ผมจะต้องเดินแถวผ่านน้องๆ นรต.หญิงหน้าตาไม่เต็มใจตื่นทุกเช้า บางคนไม่ได้เตรียมตัวก่อนตื่น ฟันฟางไม่ได้แปรง หน้าเหน้อก็ไม่ได้ล้าง พี่ๆเดินผ่านที...กลิ่นฟีโรโมนหึ่ง
หลังจากที่ผมได้ยินมานานแสนนานว่ามีนักศึกษาแพทย์รามาคนนึงซิ่วมาเรียน นรต. ผมก็ได้แต่เก็บอะไรต่อมิอะไรไว้ในใจ อยากเจอหน้าน้่องคนนี้ อยากถาม อยากรู้ อยากเห็นและสงสัย ... ว่ามึงบ้ารึเปล่า?!
ถ้าผมมีน้องสาวเรียนแพทย์ แล้วมันสอบ นรต.ได้ ให้ตายห่าเถอะครับ...ผมไม่ให้มันออกมาหรอก
อย่างที่ผมเคยเรียนไว้ใน journal อันเก่าๆ หรือแม้แต่อันล่าสุดก็ตาม เพื่อนๆก็คงพอจะเห็นภาพของ นรต.หญิงกันแล้ว ... มีใครอ่านแล้วรุกรบอยากลองมาสัมผัสดูมั้ยครับ?
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาผมได้เจอน้องคนนั้นแล้่วครับ...ในห้องสมุด สภาพอิดโรย น่าสงสาร ดูสภาพจิตใจของเธอแย่มาก ขณะที่เพื่อนคนอื่นๆกำลังผ่อนคลาย หาหนังสือบ้าๆบอๆไร้สาระมาอ่านคลายเครียด แต่เธอกลับนั่งหลับอยู่ในมุมมืดของสังคม...
นักเรียนปกครองเดินตรงเข้าไปจดชื่อ เพราะการอาศัยห้องสมุดเป็นที่หลับนอนนั้นเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะนักเรียนชั้นสูง(อย่างผม)เท่านั้น
1 กระทงผ่านไป
พี่ปี 4 เข้ามาคุยปลอบ แต่ด้วยความไม่รู้ธรรมเนียม พี่ยืน นรต.หญิงนั่งคุยหน้าตาเฉย นักเรียนปกครองก็เลยมาจดชื่ออีก
2 กระทง
นักเรียนปกครองคนเดิมสั่งเธอด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "คัดชื่อพี่เค้า 500 จบ ส่งผู้ช่วย(ตำแหน่งนักเรียนปกครอง)ก่อน 3 ทุ่มคืนนี้" แล้วดินจากไปท่ามกลางความเงียบงัน
เธอค่อยๆก้มหน้า ...
หยาดน้ำตาลูกผู้หญิง ร่วงหล่นหยดลงสู่พื้นปาร์เก้ของห้องสมุด หยดแล้ว หยดเล่า...
ผมอยากจะถามเธอดังๆ
"นี่!...ถ้าเธอรู้ว่าเข้ามาแล้วจะต้องเจออะไรแบบนี้ เธอจะเข้ามามั้ย"
ผมอยากจะบอกเธอดังๆ
"ถ้าเธอยังเรียนหมออยู่ ป่านนี้เธอคงไม่ต้องทุกข์ใจ ไม่ต้องมาถูกกลั่นแกล้งกดดันแบบนี้"
ผมอยากจะตะโกนใส่เธอดังๆ
"ลาออกไปซะ! อย่าทนอีกเลย นี่ไม่ใช่เส้นทางของเธอ"
ผม มองหน้าเธอที่กำลังก้มหน้า เนื้อตัวออกอาการเกร็งเห็นได้ชัด เพื่อน นรต.หญิงคนอื่นๆเริ่มเข้ามาลูบหัวลูบหาง เริ่มเข้ามาปลอบ ผมบอกน้องหญิงคนนึงว่าช่วยเพื่อนคัดนะ คนละนิดคนละหน่อยเดี๋ยวก็ครบ น้องหญิง 3-4 คน ณ เวลานั้นรับปาก แล้วช่วยกันปลอบเพื่อน
เธอพยักหน้านิดนึง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มกับเพื่อน บอกกับเพื่อนทั้งน้ำตา((และอาจเป็นการบอกกับตัวเอง)) "ไม่เป็นไร"
ผมยิ้มในใจ...เออ...ไม่เป็นไร
ผมอยากจะกระซิบถามเธอค่อยๆ
"น้อง...ไหวมั้ย กับบททดสอบครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้"
ผมอยากจะปลอบเธอเบาๆ
"น้อง...ไม่เป็นไรนะ อดทนนะ มันเป็นแค่เกม"
แต่...ผมอยากจะชื่นชมเธอดังๆ
"น้อง...เธอนี่แหล่ะ ไม่ธรรมดา"
ที่ผมบอกว่าไม่ธรรมดานั้น...มันยังไง ตามให้ทันนะครับ
อันดับแรก น้องคนนี้กล้าลาออกจากหมอมาเป็นตำรวจ
อันดับที่สอง เราต้องย้อนกลับไปมองที่พื้นฐานของน้องเค้า
หมอ ... ตำรวจ
2 อาชีพนี้มีอาถรรพ์คล้ายกัน คือจบออกไปรับผิดชอบชีวิตคนอื่นเหมือนกัน
ผมอาจจะรู้สึกดีที่ได้ยินว่านักศึกษามหาลัยดังๆออกมาเรียน นรต.หญิงกันเพียบ
จากที่จะได้เรียนจบไปรับผิดชอบตัวเอง แต่พวกเธอเหล่านี้กลับเลือกที่จะไปรับผิดชอบคนอื่น
อันนี้ผมศรัทธาในระดับหนึ่ง
แต่น้องคนนี้...เลือกที่จะไปรับผิดชอบคนอื่นตั้งแต่ต้น...
เลือกเป็นหมอ ไม่พอใจ ออกมาเป็นตำรวจ(แม่ง)เลย ได้ช่วยคนแบบสะใจกว่า
อย่างนี้แหล่ะครับที่ผมศรัทธา
แม้เธอได้รู้และได้สัมผัสแล้วว่า ถึงจะจบออกไปได้อยู่ในสายอาชีพที่ต้องรับผิืดชอบชีวิตคนอื่นเหมือนกัน แต่เส้นทางของความเป็นตำรวจมันแสนทุกข์ยากลำบากกว่า
ทั้งกาย
ทั้งใจ
แต่เธอกลับเงยหน้าขึ้นมายิ้มและบอกกับเพื่อนๆทั้งน้ำตาได้ว่า "ไม่เป็นไร"
นี่แหล่ะครับ ...ยอดนักเรียนนายร้อยตำรวจหญิง...
นี่แหล่ะ คือสิ่งที่ประเทศชาติและประชาชน รวมถึงพี่ๆทุกคนต้องการ
เมื่อ "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง"
ถ้าน้องๆ นรต.หญิงทุกคน "รู้เจตนาของพี่ รู้เจตนาตัวเอง ไม่ว่าจะโดนทดสอบสักกี่พันกี่หมื่นครั้ง เธอก็จะชนะใจตัวเอง ชนะความอ่อนแอ ท้อแท้ และท้อถอยของตัวเอง...ได้ทุกครั้ง"
บอกแล้วไง จะไปรับผิดชอบชีวิตของคนอื่นได้ เราจะต้องเป็นให้ได้ยิ่งกว่าคนอื่น
สู้ต่อไปนะ...น้องหญิง